ริวเฮย์ รู้สึกกดดันอย่างหนัก เมื่องานที่หาได้ตอนนี้มีแต่งานรายได้ต่ำกว่าที่เขาเคยทำมามาก แต่ในที่สุด เขาก็จำต้องรับงานเป็นภารโรงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เขาต้องทำความสะอาดพื้นและล้างห้องน้ำ แม้จะเป็นงานที่ทำให้เขาอับอาย แต่ ริวเฮย์ ก็จำเป็นต้องก้มหน้ารับชะตากรรม
เคนจิ ลูกชายคนเล็กก็มีความลับของตัวเองเช่นกัน เนื่องจากพ่อไม่อนุญาตให้เขาเรียนเปียโน เขาจึงแอบไปเรียนเอง โดยนำเงินค่าอาหารกลางวันของตัวเองไปจ่ายเป็นค่าเรียน ขณะที่พี่ชายวัยรุ่นของเขา ทาคาชิ ก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ ด้วยการเข้ารับราชการเป็นทหาร
เมงุมิ ผู้เป็นแม่บ้าน เฝ้ามองครอบครัวของเธอและเห็นความลับต่างๆ ค่อยๆ เผยตัวออกมา ในหัวใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ครอบครัว ซาซากิ จะประคับประคองกันและกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เรียนรู้จากสิ่งต่างๆ เยอะเลย เพราะปัจจุบันครอบครัวซึ่งเป็นครอบครัวคนเมืองนั้นมีมากขึ้น ตามวิถีชีวิตคนเมืองนั้นเอง ที่พ่อนั้นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวในการหาเงินเพื่อจุนเจือครอบครัว และวางอนาคตให้กับลูกๆ โดยมีแม่ ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน หากับข้าว ทำอาหาร ดูแลสมาชิกของครอบครัวทุกคน แต่เมื่อพ่อซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงของครอบครัว ตกงาน จึงเกิดปัญหาทางด้านการเงินขึ้น ซึ่งความเครียดก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามมา แต่เมื่อบวกกับความที่ต้องปิดปังครอบครัวเรื่องตกงาน ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก อีกทั้งความต้องการของลูกคนโตที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วอยากเข้ารับราชการทหารของกองทัพสหรัฐ ซึ่งคัดแย้งกับความต้องการของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกอยู่ที่ญี่ปุ่น ไม่อยากให้ไปไหน ไกลๆ ด้วยความเป็นห่วงของพ่อแม่นั้นเอง ส่วนลูกคนเล็กที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ที่มีความต้องการอยากเรียนทางด้านดนตรีนั้นคือ เปียโน นั้น คัดแย้งกับความต้องการของพ่ออีกที่มีปัญหาด้านการเงินและดูว่าการเล่นดนตรีเป็นเรื่องไร้สาระ อีกทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีแม่เป็นตัวกลางในการให้ความช่วยเหลือและเป็นที่ปรึกษาของลูกๆ ดูครอบครัวของเธอเองด้วยความท้อแท้ใจ และปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ กับครอบครัวนี้คือ การไม่พูดคุยและปรึกษาหารือกันในครอบครัวนั้นเอง เพราะถ้าสมาชิกทุกคนต่างคนต่างความคิด และมีความลับปกปิดกันภายในครอบครัวอีก ก็ยิ่งเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้นอีกมาก
2. ทฤษฎีสังคม
ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่เป็นผลมาจากการนำเอาแนวความคิดทางด้านชีววิทยามาใช้ โดยอุปมาว่า โครงสร้างของสังคมเป็นเสมือนร่างกายที่ประกอบไปด้วยเซลล์ต่าง ๆ และมองว่า หน้าที่ของสังคมก็คือ การทำหน้าที่ขออวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยแต่ละส่วนจะช่วยเหลือและเกื้อกูลซึ่งกันและกันเพื่อให้ระบบทั้งระบบมีชีวิตดำรงอยู่ได้
โรเบิร์ต เค. เมอร์ตัน (Robert K. Merton) ได้จำแนกหน้าที่ทางสังคมเป็น 2 ประเภท คือ หน้าที่หลัก (Manifest) หน้าที่รอง (Latent) หน้าที่ที่ไม่พึงปรารถนา (Dysfunctional) หน้าที่ของบางโครงสร้างของสังคมอาจมีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันคนบางส่วนอาจได้รับประโยชน์เพียงน้อยนิดหรืออาจไม่ได้รับประโยชน์เลย ซึ่งรวมไปถึงอาจจะมีคนบางกลุ่มหรือบางส่วนของสังคมได้รับผลเสียจากทำงานของโครงสร้างของสังคมนั้นก็ได้
อีมีล เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) มีแนวความคิดว่า หน้าที่ของสังคมคือ ส่วนที่สนับสนุนให้สังคมสามารถดำรงอยู่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับ เอ.อาร์ แรดคลิฟฟ์ บราวน์ (A.R. Radcliffe-Brown) กับ โบรนิสลอว์ มาลิโนว์สกี้ (Bronislaw Malinowski) ที่มองว่า หน้าที่ทางสังคม เป็นส่วนสนับสนุนให้โครงสร้างสังคมคงอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะสังคมมีกระบวนการทางสังคมที่ทำให้สังคมเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น บรรทัดฐาน ค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณี เป็นต้น
ทาลคอทท์ พาร์สัน (Talcott Parsons) มีแนวความคิดว่า สังคมเป็นระบบหนึ่งที่มีส่วนต่าง ๆ (Part) มีความสัมพันธ์และสนับสนุนซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ที่คงที่ของแต่ละส่วนจะเป็นปัจจัยทำให้ระบบสังคมเกิดความสมดุลย์ (Equiligrium) ส่วนในด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคม พาร์สันเสนอว่า เกิดจากความสมดุลย์ถูกทำลายลง เพราะองค์ประกอบของสังคมคือบุคลิกภาพ (Personality) อินทรีย์ (Organism) และวัฒนธรรม (Culture) เกิดความแตกร้าว โดยมีสาเหตุมาจากทั้งสาเหตุภายนอกระบบสังคม เช่น การเกิดสงคราม การแพร่กระจายของวัฒนธรรม เป็นต้น และสาเหตุจากภายในระบบสังคม ที่เกิดจากความตึงเครียด (Strain) เพราะความสัมพันธ์ของโครงสร้างบางหน่วย (Unit) หรือหลาย ๆ หน่วย ทำงานไม่ประสานกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงทางประชากร การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสาเหตุทำให้ส่วนอื่น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นเฉพาะส่วนใดหนึ่งหนึ่งหรืออาจเกิดขึ้นทั้งระบบก็ได้ พาร์สันเน้นความสำคัญของ วัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงความเชื่อ บรรทัดฐาน และค่านิยมของสังคม คือ ตัวยึดเหนี่ยวให้สังคม
โดยสรุปแล้ว แนวความคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของกลุ่มทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่ มีลักษณะดังนี้
- ในการศึกษาและวิเคราะห์สังคมต้องมองว่า สังคมทั้งหมดเป็นระบบหนึ่งที่แต่ละส่วนจะมี
ความสัมพันธ์ระหว่างกัน
- ความสัมพันธ์คือสิ่งที่สนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล
- ระบบสังคมเป็นการเคลื่อนไหวเข้าสู่ความสมดุลย์ การปรับความสมดุลย์ของระบบจะทำ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ระบบตามไปด้วยความต่อเนื่องของกระบวนการของข่าวสารจากภายในและภายนอก นอกจากนี้ทฤษฎีระบบยังมองว่าความขัดแย้ง ความตึงเครียดและความไม่สงบสุขภายในสังคมก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่อย่างไรก็ตามทฤษฎีระบบก็มีข้อจำกัดในการศึกษาเปลี่ยนแปลงทางสังคม เนื่องจากในการวิเคราะห์ตามทฤษฎีระบบเป็นการศึกษาเฉพาะเรื่อง จึงทำให้ไม่สามารถศึกษาความสัมพันธ์กับระบบอื่นได้อย่างลึกซึ้ง
3. หากเป็นพ่อ
ขอขอบคุณ
-เว็ปไซต์ SiamZone>Movie ในส่วนของเนื้อเรื่องย่อ
-เว็ปไซต์ Google>Picture ในส่วนของรูปภาพ
-เว๊ปไซต์ WWW.FIN.IN.TH ในส่วนของเนื้อหาทฤษฎีทางสังคม
เข้าถึงได้จาก
- http://www.siamzone.com/movie/m/5289/synopsis